เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้, Apple ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้กับ iPhone และ Apple Watch หนึ่งในนั้นคือ การตรวจจับการล้ม (Fall Detection) และการตรวจจับการชนกัน (Crash Detection) เมื่อฟีเจอร์นี้ทำงาน มันจะโทรเรียกหาสายด่วนโดยอัตโนมัติ
ในขณะที่ฟีเจอร์นี้ได้ช่วยชีวิตผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่มันก็ไม่ได้มีแค่ผลดี เพราะมีผลเสียออกมาเช่นกัน เนื่องจากการรายงานที่ผิดพลาดของฟีเจอร์เหล่านี้ ค่อนข้างเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญให้แก่เจ้าหน้าที่จนถึงขั้นที่ เจ้าหน้าที่ต้องขอให้ประชาชนปิดฟีเจอร์เหล่านี้เถอะ
การตรวจจับการล้ม, การชน, และ SOS ฉุกเฉิน
การตรวจจับการล้มนั้นเปิดตัวครั้งแรกใน Apple Watch Series 4 ถ้านาฬิกาตรวจจับการล้ม, นาฬิกาจะสกิดข้อมือคุณ และส่งเสียงร้องเตือน พร้อมแจ้งเตือนบนหน้าจอ ถ้าคุณจัดการกับการแจ้งเตือน คุณสามารถเลือกบอกได้ว่าคุณปลอดภัยดี ไม่ได้เป็นอะไร หรือ เลือกขอความช่วยเหลือโดยด่วน ซึ่งถ้าคุณไม่เลือกอย่างใดอย่างนึง Apple Watch จะโทรหาสายด่วนให้โดยอัตโนมัติ
ในส่วนของการตรวจจับการชนนั้น มาเมื่อปีที่แล้วกับ iPhone 14 และ Apple Watch Series 8 การทำงานของมันไม่ต่างจากการตรวจจับการล้ม ซึ่งก็คือถ้า iPhone หรือ Apple Watch ตรวจจับว่าคุณรถคว่ำ คุณก็จะได้รับการแจ้งเตือนให้เลือกว่า คุณปลอดภัย หรือ ต้องการความช่วยเหลือ
ไม่ว่า iPhone หรือ Apple Watch ต่างก็มีฟีเจอร์ Emergency SOS แบบ Basic ที่ทำให้คุณสามารถโทรขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนด้วยปุ่มลัดเหล่านี้:
- iPhone 8 หรือ รุ่นที่สูงกว่า: กดปุ่มด้านข้างและปุ่มปรับระดับเสียงปุ่มใดปุ่มหนึ่งค้างไว้จนกว่าแถบเลื่อน SOS ฉุกเฉินจะปรากฏขึ้น
- ลากแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉินเพื่อโทรหาบริการฉุกเฉิน หากคุณไม่ลากแถบเลื่อน แต่กดปุ่มด้านข้างและปุ่มปรับระดับเสียงค้างไว้ต่อไปแทน ระบบจะเริ่มนับถอยหลังและส่งเสียงเตือน หากคุณกดปุ่มทั้งสองค้างไว้จนการนับถอยหลังจบลง iPhone ของคุณจะต่อสายบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ
- Apple Watch: กดปุ่มด้านข้างของนาฬิกาค้างไว้ (ปุ่มด้านล่างของ Digital Crown) จนกว่าแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉินจะปรากฏขึ้น
- ลากแถบเลื่อนการโทรฉุกเฉินเพื่อเริ่มการโทรทันที หรือคุณสามารถกดปุ่มด้านข้างค้างไว้ หลังจากนับถอยหลัง นาฬิกาของคุณจะโทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติ
ความเห็นของบุคลากรด่านหน้า
จากฟีเจอร์ทั้งสองนี้ นำการโทรแจ้งเตือนผิดพลาดมานับไม่ถ้วนให้ว่อนกันไปทั่วประเทศ ข่าวรายงานจาก MPR News อาทิตย์นี้ได้เน้นให้เห็นถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับบุคลากรด่านหน้าในรัฐ Minnesota
รายงานนี้ ไม่ต่างจากรายงานอื่น ๆ ที่พบว่าการตรวจจับการชนของ iPhone 14 และ Apple Watch ได้ส่งขอความช่วยเหลือโดยไม่ได้ตั้งใจจากการที่ผู้คนเล่นกีฬาฤดูหนาว เช่น สกี และ สโนว์บอร์ด
เมื่อเกิดการโทรผิดพลาดขึ้น ผู้ที่ได้รับรายงานจำเป็นที่จะต้องส่งบุคลากรด่านหน้าไปที่จุดเกิดเหตุ ยกเว้นผู้ที่โทรมาจะแจ้งยืนยันว่าเป็นการโทรที่ผิดพลาด ในกรณีที่ไม่มีแจ้งผิดพลาดนั้น จะส่งผลไปถึงหลายหน่วยงาน เช่น หน่วยกู้ภัย, หน่วยรักษาความปลอดภัย, หน่วยกู้ชีพ, และอื่น ๆ
Pat Eliasen นายอำเภอในมณฑล Cook County กล่าวกับนักข่าว MPR News ว่า ในปี 2022 หน่วยรับเรื่องรายงานของเขา รับรายงานประมาณ 700 สาย ที่โทรผิดพลาด หน่วยงานกล่าวว่า “พบว่ามีคนโทรมามากในช่วงวันหยุดนักขัตฤกษ์ บ้างก็เป็นการโทรที่ผิดพลาดจากการตรวจจับการชน”
"มันกินเวลาของพวกเราไปมากในหน่วยรับเรื่อง และถ้าพวกเขาไม่สามารถยืนยันได้ว่ามันเป็นเท็จหรือไม่ พวกเขาจะต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ และมันก่อให้เกิดความเครียดอย่างมากกับเจ้าหน้าที่ในออฟฟิศ เพราะเราก็เป็นหน่วยงานเล็ก ๆ อยู่แล้ว การไปติดตามการโทรเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย"
Pat Eliasen
ปัญหานี้ทำให้บางหน่วยงานต้องทำงานหนักมากขึ้น จนถึงขั้นที่บุคลากรได้ออกมากล่าวให้ประชาชน “ปิด” บางส่วนของฟีเจอร์เหล่านี้:
ทั้งมณฑล Cook และ Stearns County ต่างก็แนะนำให้ประชาชนตรวจสอบการตั้งค่าบนอุปกรณ์ และปิดการโทรแจ้งสายด่วนอัตโนมัติ เมื่อทำกิจกรรมเช่น ขี่ Snowmobile หรือ เล่นสกี หรือ ปิดเมื่อไม่จำเป็น
ส่วนที่น่าสนใจจากรายงานวันนี้คือ เหตุนี้ไม่ได้เกิดจากฟีเจอร์ของ Apple แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังเกิดจากแอป Third-party อย่าง Life 360 ที่มีฟีเจอร์เดียวกันอีกด้วย
ความเห็นของ 9to5Mac
เป็นที่ชัดเจนว่าฟีเจอร์เหล่านี้ทำให้บุคลากรในสหรัฐอเมริกาต้องทำงานหนักมากขึ้น แต่ทางแก้นั้นไม่ควรเป็นการแนะนำให้ประชาชนปิดฟีเจอร์เหล่านี้
โดยเฉพาะคำแนะนำที่บอกให้ปิดฟีเจอร์ “เมื่อทำกิจกรรมเช่น ขี่ Snowmobile หรือ เล่นสกี” นั้นไม่ควรอย่างยิ่ง เพราะกิจกรรมเหล่านี้แหละ ที่จะทำให้เกิดอุบัติเหตุ แม้มันอาจจะเพิ่มการโทรผิดพลาดไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม ทางเราก็ไม่ทราบทางออกที่ดีนั้นคืออะไร หน่วยงานรักษาความปลอดภัยบางหน่วยงานก็ระบุไว้ในรายงาน MPR News ว่า นี่เป็นเพียงโอกาสที่จะสอนผู้คนให้รู้จักฟีเจอร์เหล่านี้ให้ถึงแก่นของมัน
Dana Wahlberg, ผู้อำนวยการแผนกเครือข่ายการสื่อสารฉุกเฉินของกรมความปลอดภัยสาธารณะรัฐมินนิโซตา กล่าวไว้ว่า:
นี่เป็นโอกาสดีเลยที่จะสอนผู้คนให้เข้าใจว่า อุปกรณ์ที่พวกเขาซื้อมามีเทคโนโลยีอยู่มากมาย และมันต้องมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่จะใช้เทคโนโลยีนั้นด้วย ดังนั้น หากโทรพลาด ให้ถือสายไว้ และแจ้งกับหน่วยรับเรื่องว่าคุณโทรผิด ไม่มีอะไรต้องอับอาย เพราะไม่เช่นนั้น หากพวกเราต้องโทรกลับหาคุณหรือถึงขั้นออกตามหาคุณ มันจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรของเราโดยใช่เหตุ
นี่เป็นเรื่องที่ Apple ก็สามารถช่วยได้ ถ้าบริษัทสามารถสอนผู้ใช้งานเกี่ยวกับฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินบน iPhone และ Apple Watch มันสามารถแสดงให้เห็นว่าผู้คนสามารถทำอย่างไรได้บ้าง หากเกิดการโทรผิด ใน iOS 16.2 ที่พึ่งปล่อยออกมาไม่นานนั้น ได้มีฟีเจอร์ใหม่ ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานไปยัง Apple ได้ หากฟีเจอร์ SOS ฉุกเฉินทำงานโดยพลการ
แล้วคุณคิดอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์นี้? แน่นอนว่าการโทรผิดจะทำให้บุคลากรต้องทำงานหนัก แต่คุณจะแก้ไขปัญหาอย่างไรโดยที่ไม่ต้องบอกให้ผู้ใช้งานปิดฟีเจอร์เหล่านี้?
แหล่งที่มา: 9to5Mac
แปลและเรียบเรียงโดย: ศิรสิทธิ์ เต็มศรีสุข